เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ ธ.ค. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โลกเวลามันว่ามันก็ว่าไปตามประสาโลก โลกมันคิดประสาโลกนะ มันคิดว่าสิ่งที่เป็นวัตถุ สร้างต่างๆ สมเป็นวัตถุจะเป็นประโยชน์กับเขา นี่เรื่องของโลกมองไปประสาโลก แต่เรื่องของโลกกับธรรมมันคนละเรื่องกัน เรื่องของธรรม เห็นไหม เรื่องของธรรมคือเรื่องของปัญญาจากภายในที่เห็นสภาวะกรรมไง กรรมของคนไม่เหมือนกัน การสร้างสมมาก็ไม่เหมือนกัน สิ่งที่เป็นสภาวะกรรมมันจะไม่สมความปรารถนา แล้วมันจะเคลื่อนไปตลอดเวลา มันไม่สมความปรารถนาการกระทำของมัน นั้นคือกรรมไง

กรรมถ้าเราไม่ทำไว้มันจะไม่เป็นตามประสานั้น แต่ถ้าเรื่องของโลกพยายามทำให้ได้สมประโยชน์ แล้วมันจะเป็นไปตามนั้น มันถึงต้องมีการทุจริต มีการโกงมีการกินเพื่อเบี่ยงเบนให้ประเด็นนั้นสมความปรารถนา การบริหารการจัดการเพื่อให้มันสมประโยชน์ บริหารจัดการเรื่องแบบนั้นคือเรื่องของโลก

นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาของพวกเราที่คิดกันอยู่นี่ว่าเป็นปัญญาๆ มันเป็นปัญญาของโลก ถ้าปัญญาของโลกมันแก้ไขกิเลสไม่ได้ สิ่งที่แก้ไขกิเลสไม่ได้มันเป็นความคิดไง ความคิดของเรา มันไหลลื่นไปตามความคิดของเรา มันเป็นกระแสไป ตามกระแสของใจไป ใจคิดขนาดไหนแล้วก็เป็นความเป็นไป แล้วมันก็มีความคิด มีความคิดซึ้งตามอารมณ์ความรู้สึกของตัวด้วยนะ

ถ้าตนคิดอย่างนั้น แล้วเห็นความรู้สึกว่ามันพอใจกับสิ่งนั้น มันพอใจแล้วมันปล่อยวาง เห็นไหม มันเป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสคือว่ามันมีสิ่งที่เชื้อให้มันพอใจ สิ่งที่เป็นเชื้อให้มันพอใจแล้วมันจะปล่อยวางสิ่งที่เป็นเชื้อที่พอใจนั้น สิ่งนั้นปล่อยวางๆ มันปล่อยวางแบบโลก ปล่อยวางแบบธรรมเมา ความเมาในอารมณ์ของตัวเอง ถ้าเมาอารมณ์ของตัวเอง นี่คิดจนพอใจ คิดจนว่าหาทางออกจนพอใจแล้วมันก็เมาในอารมณ์ของมันเอง

นี่อารมณ์ตัวเอง เมาในอารมณ์ตัวเองเป็นเรื่องของโลก เรื่องกระแสโลกเป็นแบบนั้น ถ้าเรื่องกระแสของธรรม เรื่องกระแสของธรรมมันต้องเริ่มมีความพอใจขึ้นมา ความพอใจสิ่งนั้น แล้วพยายามดัดแปลงตนขึ้นมาให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ถ้าเป็นทิฏฐินะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นในธรรมว่าเป็นความเห็นในธรรม แล้วพิจารณาในเรื่องของธรรมว่าเป็นปัญญาใคร่ครวญแล้ว ใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ของโลก นั่นแหละกิเลสมันหลอกใช้

มันเป็นสัมมาทิฏฐิในแง่ของโลกียะ แต่มันไม่เป็นสัมมาทิฏฐิในแง่ของการปฏิบัติธรรม ถ้ามันแง่ของการปฏิบัติธรรมมันต้องคิดเข้าไปลึกซึ้งกว่านั้น แล้วดัดแปลงความเห็นของตัว รื้อค้น ขุดค้นจากความติดของใจขึ้นมาพิจารณาให้ได้ ถ้ารื้อค้นความติดของใจขึ้นมาพิจารณาไม่ได้ สิ่งนั้นไม่ได้ปลดเปลื้อง ถ้าสิ่งใดไม่ได้ปลดเปลื้องไม่เป็นสภาวธรรม

ถ้าไม่เป็นสภาวธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าธรรมนี้ลึกซึ้งมาก ลึกซึ้งมาก กว้างขวางมาก กว้างขวางจนจับต้องกันไม่ได้ สิ่งที่จับต้องไม่ได้เรารื้อค้นไปเถิด แหวกขนาดไหนก็แล้วแต่ แหวกจอกแหนเข้าไปเห็นธรรมๆ เห็นสภาวะของความสงบของใจ แหวกเข้าไปมันก็วนไปตามประสาแหวกนั้น

นี่เรื่องของโลก โลกกับธรรมถึงคนละส่วนกัน อยู่ในโลก เราเกิดมาในโลกต้องเป็นโลกไปก่อนอันนี้ถูกต้อง เราต้องอาศัยเรื่องของโลกเป็นเรื่องของโลกไป แล้วมันจะเป็นสภาวะของธรรมข้างหน้า แต่เป็นสภาวธรรมข้างหน้าเราก็ต้องไม่ประมาทในความเห็นของเรา นี่เป็นความเห็นของเรา เราประมาทในความเห็นของเรา เพราะกิเลสมันอยู่กับเรา สิ่งที่เป็นความเห็นของเรา เป็นความคิดของเรา เราจะต้องสงวนรักษาที่สุดเลย เพราะมันเป็นความคิดความเห็นของเรา แล้วเราคิดเราจินตนาการได้ขนาดนี้จะลึกซึ้งขนาดนี้

เหมือนกับเราคิดแบบเด็กๆ ความคิดแบบเด็กๆ คิดได้ส่วนหนึ่ง แล้วคิดได้ขนาดนั้นก็มีความพอใจในส่วนนั้น คิดว่าสิ่งนั้นทำไม่ได้ ดูอย่างพวกขโมย พวกโจร เห็นไหม เขาคิด เขาวางแผนของเขาว่าต้องไม่มีใครจับต้องเขาได้ เพราะไม่มีใครสามารถจะรู้ทันเขาได้ เขาถึงปล้น ถึงจี้ของเขา แต่เสร็จแล้วตำรวจก็ต้องตามสิ่งนั้นทัน ต้องตามเหตุนั้นทัน เพราะต้องทิ้งร่องรอย ทิ้งหลักฐานไว้ ทิ้งหลักฐานไว้ ทิ้งร่องรอยไว้ ดูเจตนาไว้ บางทีรู้ รู้ว่าคนนี้ทำ แต่ไม่มีหลักฐานก็ทำอะไรเขาไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน มันเป็นความทิ้งร่องรอยไว้ มันเป็นเรื่องของโลก เรื่องของโลกมันจะทิ้งหลักฐานไว้ ทิ้งสัญญาความจำไว้ในหัวใจของเรา ทิ้งสัญญาความจำไว้ แล้วมันก็เริ่มตามสัญญาไว้ กิเลสมันจะเกิดขึ้นมา เห็นไหม เวลาเราปล่อยวางสิ่งนั้นไป ปล่อยวางสิ่งใดไป เดี๋ยวมันก็เกิดอีก สัญญามันก็ยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา สังขารก็ปรุงแต่ง นี่ความลังเลสงสัยเกิดขึ้นตรงนี้ไง ตรงการทิ้งร่องรอยไว้ในหัวใจ สิ่งนี้ทิ้งไว้ในหัวใจแล้วมันก็เอาสัญญาขึ้นมาปรุงมาแต่งตลอดไป

สัญญาเกิดขึ้นมา สัญญาแสดงตัวก่อน สังขารความปรุงความแต่งหมุนไป นี่ความลังเลสงสัยเกิดขึ้นอย่างนี้ มันเป็นเรื่องของโลกมันเลยวนอยู่อย่างนั้น เห็นไหม จะแหวกไปขนาดไหน แหวกจอกแหนไปขนาดไหนมันก็แหวกไปประสามัน ถ้าไม่ได้ฆ่ากิเลส ถ้าฆ่ากิเลสต้องเป็นสภาวธรรม สภาวธรรมจะเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากว่าเราพยายามทำความสงบของใจ นี่ความสงบของใจมันถึงแปลกประหลาดไง ความสงบของใจแล้วพยายามยกขึ้น

คำว่ายกขึ้นมันอยู่ที่อำนาจวาสนา การประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนสัตว์โลก เห็นไหม คนที่ไม่มีวาสนาก็สอนเพื่อให้เขาได้บุญกุศล ให้อินทรีย์เขาแก่กล้า ถ้าอินทรีย์เขาไม่แก่กล้า เขาไม่สามารถแบกรับภาระสิ่งนี้ได้ อย่างที่ว่าปัญญาของเรา เห็นไหม เราจะบังคับให้ปัญญาของเรา เราบังคับลูกของเราให้เรียนตามความประสงค์ของเรา ให้เรียนว่าต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าเด็กปัญญามันไปไม่ได้มันก็ไปไม่ได้ นี่ปัญญาของเขาไปไม่ได้ขนาดนั้น

อันนี้ก็เหมือนกัน ปัญญาจากภายใน เราจะบังคับให้เขาเกิดขึ้นมา ให้เขาเป็นไป นี่มันเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อสถานะของเขาไม่ถึง อินทรีย์ของเขาไม่แก่กล้า อินทรีย์ของเขาไม่สามารถแบกรับภาระสิ่งนี้ได้ ความแบกรับภาระสิ่งนี้ไม่ได้ มันยกขึ้นไม่ได้ มันจับต้องสิ่งนี้ไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรไปวิปัสสนาในเมื่อไม่เห็นสติปัฏฐาน ๔ จากภายใน สติปัฏฐาน ๔ จากภายใน สภาวธรรมเกิดขึ้นจากการเห็นสติปัฏฐาน ๔ การจับต้องสติปัฏฐาน ๔ แล้วการยกขึ้นวิปัสสนา สิ่งนี้เป็นอินทรีย์แก่กล้าแล้วสะสมขึ้นมา มันจะสะสมขึ้นมาแล้วยกขึ้นได้ นั้นเป็นสภาวธรรม

สภาวธรรมเกิดขึ้นจากภายใน นี่มันเรื่องความแปลกประหลาด แล้วจะเห็นความแปลกประหลาด มันจะไม่ทิ้งร่องรอยไว้นะ เวลามันปล่อยวางขึ้นมามันจะปล่อยวาง การปล่อยวางใหม่ๆ ขึ้นมามันยังเป็นเรื่องของโลก มีส่วนผสมอยู่มันก็จะทิ้งร่องรอยไว้ ทิ้งร่องรอยไว้เราก็จับสิ่งนั้นสาวเข้าไปได้ จับสิ่งนั้นสาวเข้าไปๆ สาวเข้าไปจนกว่ามันจะทำลายหมด ไม่มีร่องรอยสิ่งใดที่จับต้องสิ่งนั้นได้ มันจะขาดออกไปจากใจ

สภาวธรรมมันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ การประพฤติปฏิบัติ การนั่งสมาธิ ภาวนา พอจิตมันเริ่มสงบขึ้นมา สภาวะที่มันเห็น จะเห็นเรื่องสภาวะต่างๆ ดูอย่างเช่นจิตเริ่มสงบขึ้นมามันจะมีความกลัว มีความตื่นเต้นตกใจ ในเมื่อมันจะตกจากที่สูง ในเมื่อมันจะลึกลงไปในหัวใจ นี่มันแปลกประหลาดขนาดนั้น มันแปลกประหลาดขนาดที่ว่ามันเริ่มอาการที่มันจะหดตัวเข้ามาเฉยๆ มันจะเข้าบ้าน มันจะเข้าไปสู่ฐานของจิต ในเมื่อจิตมันจะเข้าไปสู่ฐานของจิต เราไม่ต้องไปตกใจสิ่งใด? แต่มันก็ตกใจ เพราะสภาวธรรมเราไม่เคยพบ

เพราะเราเกิดมาในโลก เราอยู่ในโลกเขา เรื่องของโลกเราจะเข้าใจได้ ศึกษาตามทันกันได้ ศาสตราจารย์ไหนก็แล้วแต่ ตามตำรับตำราที่สะสมไว้ ที่เขียนตำราไว้ เราสามารถศึกษาไปได้ แล้วเราทดลองตามเขาไปได้ เพราะมันมีร่องรอยตามกันไปได้ แต่สภาวธรรม สภาวะของธรรมเราไม่เคยเกิดขึ้นมา เราไม่เคยเห็น ใครเห็นสภาวะของธรรม เวลาจิตสงบเข้าไปมันก็ตื่นเต้นแล้ว เห็นสภาวะของภูต ผี ปิศาจ จิตเห็นภาพต่างๆ ขึ้นมาเป็นนิมิตนะ มันจะดัดแปลง มันจะเป็นไปตามสภาวะของมัน

สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมา มันเขย่าใจให้ตื่นเต้น ถ้าใจมันตื่นเต้นเข้าไป นี่สภาวธรรมเกิดขึ้น สภาวธรรมคือว่าความสลดสังเวชไง สลดสังเวช ปลงธรรมสังเวช ถ้าธรรมสังเวชเกิดขึ้น เห็นไหม ธรรมสังเวชเกิดขึ้น สิ่งที่เป็นโลกนี่มันเป็นธรรมทั้งหมดเลย แล้วเราสังเวช เราปล่อยวางสิ่งนั้นเข้ามา ปล่อยวางสิ่งนั้นเข้ามา นั้นเป็นร่องรอย แล้วจับร่องรอยสาวเข้าไปๆ จนวิปัสสนาเข้าไป ความมหัศจรรย์ของมันจะเกิดขึ้นมา

สภาวธรรมมหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์จากภายใน ใจนี้ถึงมหัศจรรย์มาก ใจนี้ถ้าได้ธรรมครองใจนะ มันจะเป็นเรื่องความมหัศจรรย์ของใจ แล้วมันจะเห็นใจว่าใจนี้มีคุณค่ามาก มีคุณค่าจริงๆ เราเกิดขึ้นมา สภาวะใจเกิดขึ้น ปฏิสนธิจิตเกิดจากในครรภ์ของมารดา ออกมาเป็นเรา เกิดเป็นเราขึ้นมา พอเกิดเป็นเราขึ้นมา เราต้องดำรงชีวิต เห็นไหม เปลือก นี่เราไปอาศัยกันที่เปลือก รักษาเปลือก ผลไม้ถ้าเปลือกมันดีอยู่มันรักษาเนื้อมันได้

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อร่างกาย เรารักษาร่างกาย รักษาสิ่งต่างๆ ของร่างกาย แล้วหัวใจล่ะ? สภาวะหัวใจ การศึกษาของโลก การศึกษาวิชาชีพต่างๆ ของโลก ก็ต้องอาศัยใจศึกษา ใจเป็นผู้จำ ใจขวนขวาย มีเจตนา มีความตั้งใจ มันก็อาศัยใจเหมือนกัน ใจกับโลก ใจนี่ใช้ในสภาวะของโลกไง ไม่ได้ใช้ในสภาวะของธรรม แม้การศึกษาธรรมขึ้นมา เห็นไหม เราศึกษา เราเรียนปริยัติขึ้นมาเราก็ใช้สภาวะของโลก เพราะมันเป็นการคาดหมายของโลก เราถึงทำไปเป็นโลกๆ ไง

ถ้าทำเป็นโลกๆ ประเพณีวัฒนธรรมของโลกก็เป็นเรื่องของโลกๆ เขา เรื่องของโลกเพื่อจะให้สวยงาม ให้สิ่งนี้สวยงามตามประเพณีวัฒนธรรมของพระอริยเจ้า เห็นไหม ธุดงควัตรนี้เป็นประเพณีวัฒนธรรมของพระอริยเจ้า นี่อริยประเพณี สิ่งที่เราดำรงอริยประเพณีจะไม่ได้สิ่งใดเลย สิ่งต่างๆ ทำแล้วเพื่อความปล่อยวาง เพื่อความว่าง เพื่อความหลุดพ้น เพื่อสิ่งต่างๆ เพื่อความไม่ให้มีร่องรอยเข้าไปไง มันถึงไม่ได้สิ่งใด

แต่ถ้าเรื่องของโลกเขา ทำสิ่งต่างๆ แล้วมีร่องรอย การก่อสร้างต่างๆ การทำความดีต่างๆ เพื่อมีร่องรอยไว้เป็นคุณงามความดี ความมีร่องรอยไว้ นั่นเป็นสภาวะกรรมว่ากรรมดีกรรมชั่วต้องให้ผลสิ่งใดเป็นอามิสทั้งหมดเลย แต่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นจากวิปัสสนาแล้วมันจะสมุจเฉทปหานขาดออกไปจากใจ กิเลสขาดออกไปจะไม่มีร่องรอยเลย ไม่มีร่องรอยแล้วใจรู้ด้วย รู้สิ่งที่ปล่อยวาง สิ่งที่สลัดออกไปจากใจ ใจปล่อยวาง ความเป็นร่องรอยไม่มี ค้นคว้าอย่างไรก็ไม่มี ไม่มีคือมันไม่มี แต่ถ้ามันมีอยู่มันต้องแปรสภาพกลับไปก่อน แปรสภาพกลับมา มันต้องเสื่อมสภาพของมันไป มันต้องถอยหลังไง มันเจริญขึ้นไปขนาดไหนมันต้องถอย

สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวะต่างๆ ไม่มีการคงที่ มันต้องแปรสภาพไปสภาวะของมัน นี้คือสภาวธรรม สภาวธรรมที่มันเกิดขึ้นจากเรื่องของโลก เห็นไหม แต่สภาวธรรมของใจคือไปรู้สภาวะสิ่งนี้ นี่รู้สิ่งต่างๆ รู้กฎทฤษฏีของโลกต่างๆ แล้วปล่อยวางทฤษฎีกฎของโลกวางไว้ รู้สภาวธรรมแล้วปล่อยวางสภาวธรรมไว้ตามความเป็นจริง แต่เรื่องของโลกไม่เป็นแบบนั้น รู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง คือเรารู้ เรายึดมั่นถือมั่นกับความรู้สิ่งนั้น ไม่ปล่อยวางสิ่งนั้น มันก็เป็นสิ่งที่ว่ามีร่องรอยกับใจตลอดไป ถ้าเราปล่อยวางสภาวะสิ่งนั้น จะปล่อยด้วยอำนาจของอริยมรรค สิ่งที่เป็นอริยมรรคเกิดขึ้นมามันสมุจเฉทปหานแล้วมันถึงจะปล่อยได้

เราคิดจะปล่อย จะปล่อยวางขนาดไหน เราสร้างสถานการณ์ให้มันปล่อย มันก็ปล่อยไปเรื่องของโลก นี้คือเรื่องของโลกหมด โลกกับธรรมถึงไม่เป็นอันเดียวกัน อยู่ด้วยกัน เราเกิดมาในโลกมันก็เป็นโลก จะปฏิเสธโลกไม่ได้เลย แต่ประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วต้องให้เป็นสภาวธรรมเข้าไป ความตื่นเต้น ความตกใจของใจที่สภาวะมันกระทบสิ่งต่างๆ นั้นปล่อยวางให้ได้ สิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้เป็นอนิจจัง ถ้าสิ่งใดที่มันเกิดขึ้นกระทบใจแล้วมันเป็นความเจ็บปวด มันเป็นสิ่งที่ฝังใจ มันจะฝังใจมาก สิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทบของใจ เกิดเห็นภาพนิมิตต่างๆ เห็นภาพที่แตกต่างไป มันจะฝังใจสิ่งนั้นมาก

สิ่งนั้นเป็นอนิจจังไหม? เป็นอยู่แล้ว เพราะใจไปมั่นหมายมัน ใจไปคิดถึงมัน ใจไปเหนี่ยวรั้งอารมณ์ต่างๆ มาเป็นปัจจุบัน ความคิดถึงเกิดขึ้นกับเรา ถ้าความคิดเกิดขึ้นกับเรา ทำไมเราไม่ปล่อยวางสิ่งที่ความคิดจะเกิดขึ้นกับเราได้ เราต้องปล่อยวาง ปล่อยวางโดยสัญญาก็ปล่อยวางสัญญาไปก่อน สิ่งนั้นไม่เอาๆ มันจะเกิดขึ้นในหัวใจมันเกิดดับ เราไม่ต้องเกิดโดยธรรมชาติของมัน เราปฏิเสธไม่เอาๆ สิ่งที่ไม่เอา เราปฏิเสธออกไปแล้วตั้งสติไว้ สิ่งนั้นมันก็จะไม่เกิดกับเรา ถ้าไม่เกิดกับเรา เราก็จะย้อนกลับเข้ามาโดยสภาวะเข้าไปเป็นธรรมได้ อาศัยโลกแล้วก็เป็นธรรม

สิ่งที่เป็นธรรมเกิดขึ้นมาจากสภาวะของใจ ใจทั้งหมดนี่สำคัญมาก ถึงว่าการทำบุญกุศลต่างๆ ก็เพื่อใจ ทำสมาธิเพื่อใจ ใจนี้จะมีคุณประโยชน์กับเรา เพราะเราสร้างสมขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์กับเรา นั้นคือสภาวะตามความเป็นจริง เอวัง